เสี่ยงอะไรบ้าง? ถ้าเกิดท้องในช่วงอายุมากยิ่งกว่า 35 ปี

11

เสี่ยงอะไรบ้าง?ถ้าท้องอายุเกิน 35 ปี

การมีครรภ์ คือเรื่องปกติสำหรับหญิง รวมทั้งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากมายของครอบครัว เพราะเหตุว่าโน่นเป็นการให้กำเนิดผู้สืบสกุลทายาทนั่นเอง ว่าแต่ว่าการมีท้องเกิดขึ้นได้เช่นไรล่ะ และก็มีกลไกสำหรับเพื่อการขยายพันธุ์เช่นไรวันนี้พวกเราจะพาคุณไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับการท้องกัน ตั้งแต่เริ่มถือกำเนิดไปจนกระทั่งการเตรียมการคลอดกันเลย
การมีท้องเกิดขึ้นได้ยังไง?
การตั้งท้อง มีต้นเหตุจากการปฏิสนธิระหว่างตัวน้ำเชื้อของข้างชายกับไข่ของข้างหญิง ซึ่งในเดือนหนึ่งสตรีจะสามารถตกไข่ได้เพียงแค่เดือนละครั้งแค่นั้น แล้วก็ตัวน้ำเชื้อที่จะเข้าไปสืบพันธุ์ได้ก็ควรมีความแข็งแรงมากพอโดยเมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว จะเคลื่อนไปฝังอยู่ในมดลูก ซึ่งก็จะมีฮอร์โมน HCG รอช่วยฟูมฟักเลี้ยงดู จนถึงไข่เติบโตเปลี่ยนเป็นเด็กทารกนั่นเอง
ตอนช่วงเวลาของการเติบโต
เมื่อกำเนิดแล้ว เด็กทารกจะเริ่มเติบโตเป็นตัวอ่อน แล้วก็เบาๆสร้างเซลล์ร่างกายขึ้นมาเรื่อยจนได้อายุท้องครบ 9 เดือน พร้อมที่จะออกมาลืมตามองโลกสุดท้าย โดยการเติบโตของเด็กแบเบาะนั้นจะถูกแบ่งได้ 3 ไตรมาส ดังต่อไปนี้
ไตรมาสที่ 1 (1-3 เดือน)
ตอนไตรมาสที่ 1 เป็นตอนที่ไข่ได้เข้าไปฝังตัวอยู่ที่ฝาผนังมดลูกแล้ว แล้วก็กำลังเติบโตเป็นตัวอ่อน โดยมีเกลื่อนกลาดรวมทั้งสายสะดือช่วยปกป้องรักษาเด็กแบเบาะจากการกระทบรวมทั้งนำของกินส่งไปถึงเด็กทารกนั่นเองซึ่งเมื่อเด็กทารกแก่ท้องได้ 3 เดือน เขาจะมีอวัยวะครบสมบูรณ์ เริ่มขยับร่างกายได้บางส่วน หัวใจเต้นราว 120-160 ครั้ง/นาที แต่ว่าระยะนี้ม่าม้าจะยังไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงการดิ้นของลูกได้
ไตรมาสที่ 2 (4-6 เดือน)
ตอนไตรมาสที่ 2 เป็นตอนๆที่เด็กทารกเริ่มขยับเขยื้อนตัวมากยิ่งขึ้น แล้วก็มีการหลับตื่น สามารถลืมตารวมทั้งกลืนน้ำได้ มีขนขึ้นตามร่างกาย รวมทั้งขนตาและก็ขนคิ้วด้วย สมองมีการเจริญวัยอย่างเร็ว แต่ว่าแนวทางการทำงานของปอดยังไม่ค่อยดีนัก โดยระยะนี้แม่จะสามารถสัมผัสถึงการดิ้นของเขาได้ หมอจะเสนอแนะให้เขียนบันทึกการดิ้นของลูกวันละ 3 เวลา ยามเช้า เที่ยงตรง เย็น เสมอๆทุกวี่วัน และก็อาจมีการอัลตร้าซาวน์ด้วย
ไตรมาสที่ 3 (7-9 เดือน)
ตอนไตรมาสที่ 3 เป็นตอนที่เด็กทารกเริ่มเจริญวัยสุดกำลัง รวมทั้งสามารถหายใจได้เองเมื่ออายุท้องครบ 9 เดือน ช่วงนี้เด็กจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเอาหัวลงสู่ช่องคลอด เพื่อเตรียมความพร้อมคลอดถัดไปซึ่งม่าม้าต้องรอบคอบสูงที่สุด เนื่องจากเด็กแรกเกิดบางทีอาจคลอดออกมาได้ตลอดระยะเวลา รวมทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการสำลักน้ำคาวปลาหรือเกลื่อนกลาดพันคอเด็กได้อีกด้วย
ผลกระทบจากการมีท้อง
เมื่อมีท้อง ฮอร์โมนภายในร่างกายจะมีการเปลี่ยนอย่างเร็ว ก็เลยนำมาซึ่งผลกระทบที่แม่บางทีอาจตั้งตัวไม่ทันอย่างยิ่งจริงๆ ซึ่งก็ส่งผลข้างๆ ดังต่อไปนี้
อึดอัด แน่นท้อง รวมทั้งบางทีอาจผายลมบ่อยครั้ง
เมื่อเริ่มมีท้อง ม่าม้าบางทีอาจรู้สึกอึดอัด แน่นท้องเสมอๆเหตุเพราะมีแรงกดในท้องมากจนเกินไป แล้วก็กำเนิดก๊าซในกระเพาะ ซึ่งอาจก่อให้มีการผายลมเสมอๆร่วมด้วย โดยแม่สามารถทุเลาอาการกลุ่มนี้ได้ด้วยการกินอาหารให้ลดลงแม้กระนั้นแบ่งเป็นหลายมื้อๆเพื่อกระเพาะย่อยง่ายมากยิ่งขึ้น และก็ต้องลดของกินที่ทำให้เกิดก๊าซในกระเพาะ รวมทั้งของกินรสเผ็ดจัดด้วย
สิวมาเยี่ยมอีกรอบ
ตอนมีเมนส์ ก็ว่าสิวมากมายแล้ว แต่ว่าตอนมีท้อง สิวมีมากกว่าซะอีก แต่ว่าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาวิตกกังวลหรือกลุ้มใจ เนื่องจากว่าข้างหลังคลอดสิวพวกนั้นก็จะเบาๆยุบลงรวมทั้งหายไปท้ายที่สุด หากว่าคุณไม่เผลอบีบสิวจนถึงอักเสบเสียก่อน หรือถ้าเกิดสิวขึ้นเต็มใบหน้าจนกระทั่งนำมาซึ่งการก่อให้เกิดความกลุ้มใจอย่างมากมาย ก็บางครั้งอาจจะทดลองขอความเห็นหมอเพื่อหายามาทาก็ได้
ขนขึ้น
ขนขึ้น เป็นอาการใกล้กันที่ทำให้หญิงรู้สึกไม่ดีที่สุด แม้กระนั้นก็มิได้กำเนิดกับทุกคนเสมอ ซึ่งโดยส่วนมากแล้วขนจะขึ้นรอบๆอก บริเวณใบหน้าแขน ขา รวมทั้งรอบๆอวัยวะสืบพันธุ์ ก็เลยจะต้องหมั่นกำจัดขนบ่อยๆเพราะว่าหากแม้จะคลอดแล้ว ขนที่ขึ้นมาใหม่ก็ไม่หายไปเองเหมือนกันกับสิว
ผิวแตกลาย

ผิวแตกลาย  ผลสำเร็จใกล้กันที่ม่าม้าจำนวนมากไม่สามารถที่จะเลี่ยงได้เนื่องมาจากเมื่อท้องของคุณขยายใหญ่ขึ้นอย่างเร็ว ทำให้เซลล์ผิวไม่อาจจะยืดหยุ่นได้ทัน ก็เลยกระตุ้นให้เกิดเส้นดำๆบนท้อง ที่เรียกว่าแตกลายนั่นเองแต่ว่าดังนี้ถ้าเกิดทาครีมที่เอาไว้สำหรับบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยพบไรเซอร์หรือครีมที่มีคุณลักษณะสำหรับในการปกป้องการแตกลายตั้งแต่เนิ่นๆก็จะช่วยลดรอยแตกลายได้ บางบุคคลบางทีอาจเกือบจะไม่เห็นรอยแตกลายเลยก็มี
อาเจียน อ้วก
อาการอ้วกคลื่นไส้ เป็นอาการที่จะเกิดขึ้นในตอนไตรมาสแรกหรือที่เรียกกันว่าอาการแพ้ท้อง ซึ่งชอบมาคู่กับอาการเวียนหัว หมดแรงรวมทั้งเหม็นกลิ่นของกินนั่นเอง แต่ว่าอาการพวกนี้จะเบาๆหายไปเมื่ออายุท้องเข้าไตรมาสที่ 2หรือบางทีอาจทุเลาได้ด้วยการทานผลไม้รสเปรี้ยวหรือแปลงรายการอาหารให้นานัปการเป็นประจำ
ในตอนนี้สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป สตรีมีหน้าที่สำหรับในการดูแลครอบครัวเยอะขึ้น ไม่ใช่เป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกดังเช่นในอดีตกาล สตรีสมัยปัจจุบันนี้มีการศึกษาเล่าเรียนสูงมากขึ้น ทำให้การสมรสนานมากออกไป บางบุคคลสมรสเมื่ออายุ 30 ปีขึ้นไป นำมาซึ่งการทำให้เมื่อมีลูกอายุก็เยอะขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย มาดูกันจ้ะว่า แม่ที่แก่มากยิ่งกว่า 35 ปีขึ้นไปท้องนั้น มีแนวโน้มเสี่ยงอะไรบ้าง ติดตามอ่านกันเลยจ้ะ
เสี่ยงอะไรบ้าง? แม้มีครรภ์ในช่วงอายุมากยิ่งกว่า 35 ปี
1.เด็กแรกคลอดเสี่ยงทุพพลภาพ
แม่ตั้งท้องที่แก่มากยิ่งกว่า 35 ปี เด็กอ่อนน้อยในท้องมีโอกาสในการเสี่ยงทุพพลภาพโดยกำเนิดมากยิ่งกว่าแม่ที่ตั้งท้องอายุน้อยกว่า เหตุเพราะ ความไม่ปกติของหน่วยกรรมพันธุ์หรือโครโมโซม ที่มักพบเป็น กรุ๊ปเด็กดาวน์หรือกำเนิดความไม่ดีเหมือนปกติของร่างกาย อย่างเช่น ไม่มีนิ้วมือ นิ้วเท้าหรือกรุ๊ปเด็กหัวบาตร คือ เด็ก ที่มีหัวใหญ่ที่เกิดขึ้นจากความผิดแปลกของน้ำหล่อเลี้ยงสมองมีการตัน รวมถึงมีความผิดธรรมดาของอวัยวะภายในเป็นต้นว่า หัวใจรั่ว ไส้ตัน ฯลฯรวมทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนคลอดยาก ไหล่ติดขณะคลอด เด็กแบเบาะขาดออกสิเจนขณะคลอด น้ำหนักตัวน้อย อีกด้วย ข้อมูลการเสี่ยงภาวการณ์เด็กดาวน์ / อายุแม่ท้อง
แม่ท้องที่แก่ 25 ปี ได้โอกาสกำเนิดเด็กดาวน์ 1 ใน 1,300 คน
แม่ท้องที่แก่ 30 ปี ได้โอกาสกำเนิดเด็กดาวน์ 1 ใน 700 คน
แม่ท้องที่แก่ 35 ปี ได้โอกาสกำเนิดเด็กดาวน์ 1 ใน 350 คน
แม่ท้องที่แก่ 39 ปี ได้โอกาสกำเนิดเด็กดาวน์ 1 ใน 100 คน
แม่ท้องที่แก่ 42 ปี ได้โอกาสกำเนิดเด็กดาวน์ 1 ใน 40 คน
แม่ท้องที่แก่ 45 ปี ได้โอกาสกำเนิดเด็กดาวน์ 1 ใน 19 คน
2.แท้งลูก สำหรับหญิงที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ได้โอกาสแท้งเองตามธรรมชาติ ปริมาณร้อยละ 10 หญิงมีครรภ์อายุ 35 ขึ้นไป ได้โอกาสแท้งตามธรรมชาติ สูงถึงจำนวนร้อยละ 15 – 20 อย่างยิ่งจริงๆจ้ะ
3.กำเนิดโรคและก็ภาวะแทรกซ้อนในขณะตั้งท้องท้องเป็นพิษ แม่ท้องที่แก่มากยิ่งกว่า 35 ปี ได้โอกาสกำเนิดท้องเป็นพิษได้มากกว่า แม่ท้องที่แก่น้อยกว่า 2 – 3 เท่า เบาหวาน แม่ท้องที่แก่มากยิ่งกว่า 35 ปี ได้โอกาสเป็นโรคโรคเบาหวานมากยิ่งกว่า แม่ท้องที่อายุน้อยกว่า 35 ปี สูงถึง 4 – 10 เท่ายิ่งไปกว่านี้ยังได้โอกาสเกิดภาวะเกลื่อนกลาดเกาะต่ำ แท้งลูกข้างหลังคลอดน้ำคาวปลาแตกก่อนถึงกำหนดคลอด ฯลฯ
4.อุปสรรคต่อการคลอดคลอดยาก ได้โอกาสที่จะผ่าตัดคลอดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ท้องที่แก่มากยิ่งกว่า 40 ปี ได้โอกาสผ่าตัดคลอดมากถึงจำนวนร้อยละ 50 หรือบางทีอาจจำต้องใช้เครื่องมือที่ใช้ในการช่วยคลอด อย่างเช่นเครื่องดูดสุญญากาศ หรือคีมช่วยคลอด ฯลฯ
5.เด็กแบเบาะเสียชีวิตในท้องโดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ท้องที่แก่ 40 ปีขึ้นไป มีโอกาสในการเสี่ยงที่เด็กทารกจะเสียชีวิตในท้องโดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จากข้อมูลของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ที่เมืองไทย พบว่า แม่ท้องที่แก่มากยิ่งกว่า 35 ปีขึ้นไป เด็กอ่อนมีแนวโน้มเสี่ยงเสียชีวิตในท้องได้มากกกว่าแม่ท้องที่แก่น้อยกว่า 30 ปี 2 – 3 เท่า
ข้อต้องห้าม! สำหรับม่าม้ามีครรภ์
ในขณะมีท้อง นอกเหนือจากการที่จะจะต้องดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ไม่อนุญาตที่แม่มีท้องไม่สมควรกระทำเด็ดขาด ซึ่งก็มีข้อกำหนด ดังต่อไปนี้

อุบัติเหตุที่สตรีมีท้องต้องระมัดระวัง
หลายๆคนรู้เรื่องว่าการดื่มนมในขณะมีท้องวันละหลายๆแก้ว จะช่วยทำให้ลูกน้อยในท้องมีวิวัฒนาการที่ดีและก็ฉลาดหลักแหลม แม้กระนั้นเรื่องจริงแล้วในวันหนึ่งม่าม้าควรจะดื่มนมเพียงแค่วันละ 2 แก้วเพียงแค่นั้น เพราะว่าการดื่มากเกินความจำเป็นอาจก่อให้ลูกในท้องมีการแพ้โปรตีนจากนมได้นั่นเอง ยิ่งไปกว่านี้ควรที่จะเลือกดื่มนมถั่วเหลืองจะเหมาะสมที่สุด
ห้ามนอนคว่ำ
การนอนคว่ำในตอนไตรมาสแรกบางทีอาจทำเป็นโดยไม่มีผลอะไร แม้กระนั้นเมื่ออายุท้องมากเพิ่มขึ้นแล้วก็ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นอย่างชัดเจน การนอนคว่ำจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะว่าจะมีผลให้แม่รู้สึกแน่นท้อง อึดอัดและไม่ค่อยสบายตัวได้นั่นเอง โดยท่านอนในลักษณะที่เหมาะกับม่าม้าท้องเยอะที่สุด ก็คือท่านอนตะแคง เพราะเหตุว่าจะช่วยประคองท้องก้าวหน้ารวมทั้งช่วยทำให้แม่หายใจได้สบายเยอะขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
ห้ามทานยาโดยมิได้หารือหมอ
การทานยาสำหรับแม่มีครรภ์นั้น ต้องขอคำแนะนำหมอก่อนเสมอ เนื่องจากว่ายาบางประเภทบางทีอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อลูกน้อยในท้องได้ เว้นเสียแต่ยาพาราเซตามอล แม้กระนั้นก็ไม่สมควรทานมากจนเกินไปเช่นเดียวกัน
ของกินบำรุงท้อง
เพื่อสุขภาพของลูกน้อยในท้องรวมทั้งตัวม่าม้าเอง ของกินบำรุงท้องนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างใหญ่โต ซึ่งเป็นต้นว่า ของกินที่มีส่วนช่วยสำหรับในการบำรุงเลือด เนื่องจากแม่มีครรภ์จะเสี่ยงภาวการณ์โลหิตจางสูง ทั้งยังยังเป็นการเสริมธาตุเหล็กให้กับม่าม้า เพื่อปกป้องการตกเลือดข้างหลังคลอดอีกด้วย
ของกินเพื่อแก้อาการแพ้ท้อง ยกตัวอย่างเช่น น้ำขิง ซึ่งนอกเหนือจากที่จะทุเลาอาการแพ้ท้องได้แล้ว ยังมีสาระต่อสถาพทางร่างกายรวมทั้งช่วยรีบการสร้างนมได้อย่างดีเยี่ยม
ผักผลไม้ โดยยิ่งไปกว่านั้นผักสีเขียว ผักสีส้ม อย่างมะละกอ และก็ส้มเพราะเหตุว่าผักผลไม้กลุ่มนี้จะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ที่มีสาระเยอะแยะ ช่วยทำให้ลูกน้อยเติบโตอย่างเหมาะสมกับช่วงอายุ แล้วก็สุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงของแม่ ของกินรีบนม อย่างเช่น แกงเลียง ยำหัวปลี รวมทั้งผัดขิงฯลฯ แน่ๆว่าแม่อาจจะไม่ต้องการกำเนิดปัญหานมน้อยเกินไปหรอกจริงไหมฉะนั้นการรับประทานอาหารเหล่านี้สามารถช่วยได้เยอะแยะอย่างยิ่งจริงๆ
การดูแลท้องอย่างแม่นยำ
สำหรับเพื่อการดูแลท้อง ม่าม้าสามารถทำได้ด้วยการกินอาหารที่เป็นประโยชน์อยู่เป็นประจำ ทั้งยังการเดินนั่งให้ละเอียด รวมทั้งนอนอย่างถูกท่าเพื่อไม่ให้เป็นผลกระทบต่อลูกน้อยในท้องด้วย ที่สำคัญควรจะเอาใจใส่ในเรื่องของของกิน ด้วยเหตุว่าอย่าลืมว่าของกินที่แม่ทานเข้าไปจะส่งไปถึงลูกน้อยเสมอ ซึ่งก็มีม่าม้าหลายท่านที่เจอกับปัญหาท้องเป็นพิษ กระทั่งจะต้องเสียลูกไปสุดท้าย ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรควรรอบคอบอยู่เป็นประจำ เพื่อลูกน้อยของคุณคลอดออกมาโดยสวัสดิภาพนั่นเอง
ก่อนคลอด เตรียมเช่นไรดี?
ภายหลังจากท้องมานานตลอดเวลา 9 เดือน ก็มาถึงวันที่แม่รอกันเสียรู้ เมื่อก่อนอื่นม่าม้าต้องจัดแจงให้พร้อมสำหรับในการคลอด ซึ่งข้าวของที่แม่ต้องจัดเตรียมตัวอย่างเช่น
1.เสื้อผ้าที่จะใส่วันออกมาจากโรงหมอ
2.ผ้าอ้อมรวมทั้งสิ่งของสำหรับเด็กแรกคลอด
3.ผ้าอนามัย สำหรับใช้ข้างหลังคลอด
4.ของใช้ส่วนตัว
5.กระเป๋าที่มีไว้น้ำร้อน
6.ทะเบียนสำมะโนครัวรวมทั้งเอกสารที่จะต้องใช้สำหรับในการแจ้งกำเนิด
7.ข้าวของอื่นๆที่ต้อง
เด็กแรกเกิดเสียชีวิตในท้อง ในภาษาอังกฤษใช้กันหลายคำ ดังเช่นว่าIntrauterine fetal demise, Fetal death, Fetal death in utero, Dead fetus in utero, หรือ Still birth โดยเด็กอ่อนเสียชีวิตในท้อง แบ่งเป็น 2กรุ๊ป เป็น
Early fetal demise คือ เด็กแรกเกิดเสียชีวิตในท้องเมื่ออายุท้องน้อยกว่า24 อาทิตย์
Late fetal demise คือ เด็กแบเบาะเสียชีวิตในท้องเมื่ออายุท้องมากยิ่งกว่า24 อาทิตย์
*อนึ่ง

1.ไม่ว่าเด็กแรกเกิดจะเสียชีวิตตอนอายุท้องเท่าใด สตรีคนนั้นก็ไม่อาจจะคลอดลูกมีชีวิตได้เช่นกัน แม้กระนั้นการที่แยกเป็น 2 กรุ๊ป เนื่องด้วยที่มาของการตายมักแตกต่างต้นเหตุของการที่เด็กทารกเสียชีวิตในท้องเมื่ออายุท้องน้อยๆมักมีต้นเหตุมาจากความไม่ปกติของโครโมโซมของเด็กอ่อนเองทำให้ไม่อาจจะเจริญวัยได้ส่วนการตายของเด็กทารกเมื่ออายุท้องมากมายแล้ว มักคือปัญหาจากเลือดไปเลี้ยงเด็กแรกคลอดน้อยเกินไป ตัวอย่างเช่นเกลื่อนกลาดเสื่อม หรือการที่แม่มีโรคประจำตัวต่างๆทำให้เด็กอ่อนได้รับออกสิเจนไม่พอ
2.อายุท้องที่น้อยกว่า 24 อาทิตย์ถือได้ว่าเป็นการแท้งลูก ด้วยเหตุว่า หากแม้เด็กแรกคลอดไม่เสียชวิต รวมทั้งสามารถคลอดออกมา ก็ได้โอกาสเลี้ยงให้รอดมีชีวิตได้น้อยมาก ในประเทศที่ปรับปรุงแล้วก็ใช้กฏเกณฑ์อายุท้องที่จัดว่าแท้ง เป็นน้อยกว่า 20 อาทิตย์ องค์การอนามัยโลก ระบุว่าการคลอดที่อายุท้องน้อยกว่า 22 อาทิตย์ เป็นการแท้ง สำหรับเมืองไทย กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้มาตรฐานการคลอดที่อายุท้องน้อยกว่า 28 อาทิตย์ เป็นการแท้ง ซึ่งใช้คำอธิบายศัพท์นี้มานานมากแล้ว และก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวจำนวนเป็นหนังสืออ้างอิงแจ่มชัด แม้กระนั้นตอนนี้มีความรุ่งเรืองความรุ่งเรืองทางด้านการแพทย์ไปๆมาๆก มีเครื่องใช้ไม้สอยช่วย ยารักษาต่างๆแล้วก็กุมารแพทย์มีความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการดูแลเด็กแรกคลอดอายุท้องน้อยๆได้ดิบได้ดีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนมาก เด็กแรกเกิดที่คลอดข้างหลัง 24 อาทิตย์โดยท้องไม่ถึงกำหนด ได้โอกาสเลี้ยงได้รอดเยอะขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง ก็เลยไม่เรียกเป็นการแท้ง

ยาขับเลือด

 

ใส่ความเห็น