ต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เด็กแรกเกิดเสียชีวิตในท้องมีอะไรบ้าง?

33

ปลายเหตุทำให้เด็กแรกเกิดเสียชีวิต

สาเหตุที่ทำให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์มีอะไรบ้าง?ทารกเสียชีวิตในครรภ์สาเหตุแบ่งได้ใหญ่ๆ 3 กลุ่ม คือ

1.สาเหตุจากตัวมารดา มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคเอสแอลอี (SLE) ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงทารกไม่เพียงพอ อายุมาก อ้วนมาก ตั้งครรภ์ทารกหลายคน เช่น ครรภ์แฝด ได้รับอุบัติเหตุ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เสพยาเสพติด

2.สาเหตุจากทารก มีความผิดปกติของโครโมโซม มีความพิการ ติดเชื้อในครรภ์ ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth restriction) การขาดออกซิเจนเรื้อรัง เช่น จากรกเสื่อม

3.สาเหตุจากรก สายสะดือ สายสะดือพันกัน สายสะดือย้อยหรือโผล่แลบ รกลอกตัวก่อนกำหนด รกเสื่อม

มารดาจะมีอันตรายหรือไม่หากทารกเสียชีวิตในครรภ์? ความเสี่ยงต่างๆ หรือผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน หรืออันตรายต่อมารดาจากภาวะทา รกเสียชีวิตในครรภ์ มีดังนี้ เสี่ยงต่อการได้รับการทำหัตถการต่างๆ เช่น การขูดมดลูก การผ่าตัดคลอดบุตร เสียเลือด มดลูกทะลุ ติดเชื้อในโพรงมดลูก

เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ (ตกเลือด) เลือดออกแล้วหยุดยาก ที่มักจะเกิดในกรณีที่ทารกเสียชีวิตในครรภ์นานกว่า 1 เดือน เนื่องจากมีการแข็งตัวของเลือดผิด ปกติ (Consumptive coagulopathy) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมาก แต่มักเกิดในกรณีที่ทารกในครรภ์อายุค่อนข้างมากและเสียชีวิตมานานเกิน 4 สัปดาห์

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทารกเสียชีวิตในครรภ์?อาการผิดปกติ ที่สตรีตั้งครรภ์สังเกตได้ เมื่อทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ มีดังนี้อาการของการตั้งครรภ์ เช่น แพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน เต้านมคัดตึง หายไป

น้ำหนักตัวมารดาไม่ขึ้น หรือ กลับลดลงทารกที่เคยดิ้นในครรภ์แล้ว หยุดดิ้นไปครรภ์ไม่โตขึ้น (หน้าท้องไม่โตขึ้น) และกลับเล็กลงด้วยมีเลือดออกทางช่องคลอดแพทย์วินิจฉัยทารกในครรภ์เสียชีวิตได้อย่างไร?เมื่อไปฝากครรภ์ แพทย์จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจครรภ์ว่า โตเหมาะสมกับอายุครรภ์ที่มากขึ้นหรือไม่ ที่อายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ขึ้นไป แพทย์จะสามารถใช้เครื่องช่วยฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกได้ (Doppler sonic aids) จะมีการตรวจประเมินเช่นนี้ทุกครั้งที่ไปฝากครรภ์ หากแพทย์ตรวจพบว่าขนาดของครรภ์ไม่โตขึ้นตามที่ควรจะเป็น ฟังไม่ได้ยินการเต้นของเสียงหัวใจทารกโดยใช้เครื่องช่วยฟัง น้ำหนักมารดาไม่เพิ่มขึ้น แพทย์จะส่งไปตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์) เพื่อดูการเต้นของหัวใจทารก ซึ่งเป็นการวินิจฉัยทารกในครรภ์เสียชีวิตได้แม่นยำที่สุด

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อทารกในครรภ์เสียชีวิต?

สตรีตั้งครรภ์ทุกคนคงหวังจะได้คลอดบุตรที่มีชีวิตและสุขภาพแข็งแรง แต่หากเกิดเหตุ การณ์ที่ไม่คาดคิด ทารกในครรภ์เกิดเสียชีวิติ ย่อมทำให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเสียใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามต้องทำใจให้ได้ เพราะบางครั้งก็เป็นการคัดเลือกทางธรรมชาติ ที่จะให้เด็กที่สมบูรณ์เท่านั้นเกิดขึ้นมา เพราะทารกที่ไม่สมบูรณ์ หรือมีความผิดปกติของโครโมโซม จะไม่สา มารถมีชีวิตได้ ดังนั้นเมื่อมีอาการผิดปกติตามที่กล่าวมาในหัวข้อ รู้ได้อย่างไรว่าทารกเสียชีวิตในครรภ์ ต้องรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล หากแพทย์ตรวจยืนยันว่าทารกเสียชีวิตจริง และสตรีตั้งครรภ์ตัดสินใจที่จะรอให้เกิดการแท้ง/การคลอดเอง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ช่วงนี้ก็ต้องสังเกตอาการเลือดออกผิดปกติในอวัยวะต่างๆ เช่น เลือดออกทางช่องคลอด เป็นต้น และ/หรือมีอาการปวด/เจ็บท้อง ซึ่งต้องรีบไปโรงพยาบาล

แพทย์ให้การดูแลรักษาอย่างไรหากทารกในครรภ์เสียชีวิต?

เมื่อเกิดเหตุการณ์ทารกเสียชีวิตในครรภ์ แพทย์ผู้ดูแลจะมีการสืบค้น หาสาเหตุของการเสียชีวิต เช่น การเจาะเลือดตรวจเบาหวาน ตรวจการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) การติดเชื้อในครรภ์ โรคธาลัสซีเมียทั้งสามีและภรรยา กรุ๊ปเลือด และหลังเกิดการแท้งหรือคลอด แพทย์จำเป็นต้องส่งทารกและรก เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

การรักษามารดาในกรณีที่ทารกในครรภ์เสียชีวิต มี 3 วิธี คือ

รอให้แท้งหรือคลอดออกมาเองโดยธรรมชาติ ซึ่งส่วนมากจะเกิดการแท้งหรือคลอดเองประมาณ 2 สัปดาห์หลังทารกเสียชีวิต ระยะเวลาที่รอ มักไม่มีปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อน นอกจากเรื่องกังวลใจของตัวมารดาและครอบครัว โดยการใช้ยาเหน็บช่องคลอด หรือ การใช้ยากระตุ้นการหดตัวของมดลูก หยดเข้าหลอดเลือดดำ หากเลือกใช้วิธีการเหน็บยา ซึ่งจะมีขนาดการใช้ยาแตกต่างกันไปในแต่ละอายุครรภ์ แพทย์จะเหน็บยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกทุก 6-12 ชั่วโมง เพื่อให้ทารกแท้งออกมา ส่วนมากใช้เวลา 2-3 วัน แต่จะมีบางรายที่แท้งไม่ครบ (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การแท้งบุตร) แพทย์ต้องทำการขูดมดลูกต่อโดยการทำหัตถการต่าง ๆ เช่น ดูดหรือขูดมดลูก ผ่ามดลูกเอาเด็กออก ซึ่งวิธีนี้แพทย์มักต้องให้สตรีมีครรภ์นอนพักในโรงพยาบาลข้อดีของการใช้วิธีดูดหรือขูดมดลูก คือไม่ต้องเสียเวลานอนพักในโรงพยาบาลหลายวัน หลังทำหัตถการเสร็จอาจได้พักประมาณ1 วัน ก็สามารถออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านได้ แต่ข้อด้อยของวิธีนี้คือ มีอาการเจ็บปวดบ้างเวลาทำหัตถการ

ยาขับเลือด

ใส่ความเห็น